【PR】ระบบตรวจสอบภาพที่หน้างานเป็นผู้ขับเคลื่อน “AI Inspector ®” จากTrust Technology Inc.

“AI Inspector ®” ระบบตรวจสอบภาพที่หน้างานเป็นผู้ขับเคลื่อน
โดยTrust Technology Inc.

ในอุตสาหกรรมการผลิต “การตรวจสอบคุณภาพ” พึ่งพา “สายตาของคน” มาอย่างยาวนาน อย่างไรก็ตาม การลดลงของแรงงานที่มีทักษะ การขาดแคลนคนรุ่นใหม่ สภาพแวดล้อมการทำงานที่มีอุณหภูมิรุนแรง รวมถึงต้นทุนแรงงานที่สูงขึ้น ทำให้การตรวจสอบด้วยสายตาเข้าสู่จุดที่แทบถึงขีดจำกัดแล้ว แม้หลายโรงงานจะพยายามเดินหน้าสู่ระบบอัตโนมัติ แต่เครื่องตรวจสอบภาพแบบเดิมมักมีปัญหา “แจ้งเตือนผิดพลาดจำนวนมาก” และ “ตั้งค่าค่าลิมิตได้ยาก” จนเกิดเสียงสะท้อนจากหน้างานว่า “ติดตั้งแล้วแต่ใช้งานได้ไม่เต็มที่” อยู่ไม่น้อย

สิ่งที่เข้ามาเปลี่ยนสถานการณ์นี้อย่างสิ้นเชิงคือ “AI Inspector®” ของบริษัททรัสต์ เทคโนโลยี (เมืองคุนิตาจิ กรุงโตเกียว) ซึ่งออกแบบมาเป็น “AI แบบหน้างานเป็นศูนย์กลาง” ที่ผู้รับผิดชอบหน้างานสามารถติดตั้งและใช้งานได้โดยไม่จำเป็นต้องมีความรู้เฉพาะทาง จึงได้รับความสนใจอย่างสูงจากอุตสาหกรรมหลากหลายประเภท

AI ที่ “หน้างานต้องการใช้จริง” – เหตุผลที่นักพัฒนายังคงลงพื้นที่โรงงานอย่างต่อเนื่อง

จุดเด่นสูงสุดของ AI Inspector อยู่ที่ “ความเป็นจริงในการใช้งาน” ที่ใคร ๆ ก็ใช้ได้ เพียงแยกภาพสินค้าดีและสินค้ามีปัญหาใส่ไว้ในโฟลเดอร์ต่างกัน แล้วกดปุ่มไม่กี่ครั้ง กระบวนการเรียนรู้ของ AI ก็เสร็จสมบูรณ์ โดยไม่ต้องมีงานอนุเทชัน (annotation) และสามารถยกระดับสู่การใช้งานจริงได้ในระยะเวลาอันสั้น

คุณยามาโมโตะ ริวอิจิโร ประธานบริษัท ระบุว่า ตั้งแต่ปี 2018 เป็นต้นมา เขาเดินทางเข้าไปเยี่ยมโรงงานทั่วประเทศอย่างต่อเนื่องแม้ในช่วงโควิด-19 โดยไม่หยุดพัก รับฟังอย่างละเอียดว่าผู้รับผิดชอบหน้างาน “ติดขัดตรงจุดใด” แล้วนำเสียงจากหน้างานเหล่านั้นมาปรับปรุงผลิตภัณฑ์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผลลัพธ์คือมีกรณีตัวอย่างที่ “แม้ผู้ปฏิบัติงานที่มีความรู้ด้านไอทีไม่สูง ก็สามารถใช้ AI ได้เพียงแค่ได้รับคำอธิบายผ่าน Zoom ประมาณ 15 นาที”

ในโรงงานอาหาร บริษัทมุ่งสู่เป้าหมาย “ศูนย์การแจ้งเตือนผิดพลาด” ในการตรวจหาสิ่งแปลกปลอม โดยเข้าไปปรับจูนที่หน้างานครั้งแล้วครั้งเล่า จนทำให้ระบบเดินเครื่องได้อย่างเสถียร มีเสียงจากผู้ปฏิบัติงานว่า “เคยคิดว่า AI เป็นเรื่องที่เกินตัว แต่แบบนี้เราก็ทำได้” การสะสมของการปรับปรุงเล็ก ๆ เหล่านี้เองที่ผลักดันให้ AI Inspector กลายเป็น “คู่หูของหน้างาน” อย่างแท้จริง

ประธานยามาโมโตะมองกระแสความนิยม AI อย่างใจเย็น เขาชี้ว่า “มีหลายบริษัทที่พูดถึง AI แต่มีไม่มากนักที่มีผลิตภัณฑ์ที่นำไปใช้จริงได้” และย้ำว่า “AI เป็นเพียงสมองเท่านั้น การทำให้การถ่ายภาพในโรงงานมีเสถียรภาพจำเป็นต้องมีเทคโนโลยีเฉพาะด้านอื่น ๆ เพิ่มเติม” นักพัฒนาที่เข้าใจทั้งซอฟต์แวร์ กล้อง แสงสว่าง แท่นติดตั้ง ระบบควบคุมไฟฟ้า และการควบคุมหุ่นยนต์ไปพร้อมกันนั้นมีไม่มาก ซึ่งกลายเป็นแกนกลางของความสามารถในการแข่งขันของบริษัทนี้

อย่างไรก็ตาม ในฐานะนักพัฒนา เขาเองก็มีความขัดแย้งภายในใจอยู่ไม่น้อย เดิมที เขาถือว่า “เทคนิคการประมวลผลภาพ” เป็นจุดแข็งหลักของตน จึงรู้สึกลังเลที่จะมอบสิ่งนั้นให้กับ AI แต่เมื่อได้เห็น AI ทำการปรับค่าที่เหมาะสมที่สุดโดยอัตโนมัติหลายล้านครั้ง เขาจึงเปลี่ยนมุมมองว่า “แทนที่จะยืนอยู่ในฐานะช่างฝีมือ การบ่มเพาะ AI ให้เติบโตจะสร้างคุณค่าให้กับหน้างานการผลิตมากกว่า” แนวคิดนี้เองที่หล่อหลอมปรัชญาการพัฒนา AI Inspector ในปัจจุบัน

พลังเทคโนโลยีแบบองค์รวมและผลลัพธ์จากการใช้งานที่คู่แข่งเลียนแบบได้ยาก – คุณค่าของ “AI Inspector®”

เหตุผลที่ AI Inspector ได้รับการสนับสนุนจากโรงงานจำนวนมากไม่ได้อยู่ที่ “สมองของ AI” เพียงอย่างเดียว จุดแข็งสูงสุดคือ “พลังเทคโนโลยีแบบองค์รวม”

ผู้ผลิต AI จำนวนไม่น้อยมุ่งเน้นเฉพาะด้านซอฟต์แวร์ แต่กลับอ่อนด้านเทคโนโลยีการถ่ายภาพ ส่งผลให้เกิดกรณี “ได้ภาพที่ไม่ดี ทำให้ AI ตัดสินผิดพลาด” อยู่บ่อยครั้ง ในมุมนี้ AI Inspector แก้ปัญหาดังกล่าวด้วย AI รูปแบบเฉพาะที่ยังสามารถรู้จำได้แม้ภาพจะเบลอ เทคโนโลยีที่ให้ AI เรียนรู้จากข้อมูลปริมาณน้อย และโครงสร้างการสนับสนุนแบบครบวงจรตั้งแต่การออกแบบแสง กล้อง หุ่นยนต์ ไปจนถึงแท่นติดตั้ง ด้วยแนวทางนี้ ทำให้ระบบสามารถรับมือกับการตรวจหารอยขีดข่วนบนเรซินใส การตรวจรูพรุนในงานไดคาสติง ตลอดจนการตรวจพบเส้นผมหรือแมลงเป็นสิ่งแปลกปลอม ซึ่งล้วนเป็นงานตรวจสอบที่หลายบริษัทเคยมองว่า “ทำไม่ได้” แต่ AI Inspector กลับสามารถผ่านไปได้ทีละกรณี

นอกจากนี้ ยังรองรับการประมวลผลความเร็วสูงที่สามารถตัดสินผลภาพได้สูงสุดถึง 60 ภาพต่อวินาที และรองรับการประมวลผลแบบเอดจ์ (edge) โดยไม่ต้องพึ่งพาคลาวด์ โรงงานที่มีข้อจำกัดด้านเครือข่ายก็ยังใช้งานได้ ขณะเดียวกันยังช่วยลดความเสี่ยงด้านการรั่วไหลของข้อมูลลงได้อย่างมาก

ในด้านโมเดลธุรกิจเองก็มีจุดเด่นเฉพาะตัว บริษัทไม่ได้ใช้แนวทางกักเก็บความรู้ไว้ใช้เอง แต่ยึดแนวคิดว่า “เปิดเผยทั้งหมด ส่งมอบทั้งหมด เชิญใช้ได้อย่างอิสระที่หน้างาน” ทำให้หลังการติดตั้ง หน้างานสามารถใช้งานและปรับ AI ด้วยตนเองได้อย่างแท้จริง แนวทางนี้อาจเรียกได้ว่าเป็น “แนวคิดตรงข้ามกับการล็อกอิน (anti–lock-in)” ซึ่งไม่ค่อยพบในบริษัทอื่น

เนื่องจากเป็นโมเดลซื้อขาด จึงไม่มีค่าใช้จ่ายรายเดือนเพิ่มเติม อีกทั้งยังไม่มีความเสี่ยงที่ฟังก์ชันตรวจสอบจะหยุดทำงานหากระบบคลาวด์ล่ม จึงมีความต่อเนื่องของธุรกิจในระดับสูง จุดนี้ได้รับคำชื่นชมอย่างมากจากฝั่งโรงงาน

การนำไปใช้งานครอบคลุมหลากหลายอุตสาหกรรม ทั้งยานยนต์ เซมิคอนดักเตอร์ อาหาร ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ขึ้นรูปเรซิน แก้ว และผลิตภัณฑ์กระดาษ เรียกได้ว่าขยายไปสู่แทบทุกพื้นที่ที่สามารถใช้ภาพในการตัดสินได้ ในงานแสดงสินค้า “FOOMA” สำหรับโรงงานอาหาร ที่จัดขึ้นในเดือนมิถุนายนปีนี้ ณ Tokyo Big Sight ระบบที่ทำงานร่วมกับหุ่นยนต์ทำงานร่วม (collaborative robot) ได้รับความสนใจอย่างมาก และมีการสอบถามเพื่อนำไปติดตั้งจริงจำนวนมาก ปัจจุบันถูกนำไปใช้ตั้งแต่ในบริษัทขนาดใหญ่ไปจนถึงโรงงานขนาดเล็กที่มีพนักงานประมาณ 10 คน

AI Inspector ไม่ได้เป็นเพียง “เครื่องตรวจสอบ” แต่เป็น “อาวุธ” ที่ทำให้หน้างานเป็นพระเอกของการปรับปรุง และเป็น “AI เชิงปฏิบัติการ” ที่รองรับอนาคตของอุตสาหกรรมการผลิตญี่ปุ่นอย่างแท้จริง